สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
กลไกของรัฐตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การปฏิรูปสภาผู้แทนราษฎร
การปฏิรูปวุฒิสภา
การปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ
การปฏิรูประบบราชการ
ศาลปกครอง
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
การปฏิรูปกระบวนการนิติบัญญัติ
การปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการ
กำหนดให้สมัยประชุมมี 2 สมัย คือ สมัยประชุมทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ
(มาตรา 159 วรรค 2) ซึ่งจะทำให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถตรากฎหมายได้มากขึ้น
ขยายระยะเวลาสมัยประชุมเป็นสมัยละ 120 วัน (มาตรา 160)
กำหนดให้กฎหมายที่สำคัญมีกระบวนการนิติบัญญัติที่แตกต่างไปโดยระบุว่า
ร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีระบุไว้ในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาว่าจำเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
หรือร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใด
หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ให้ความเห็นชอบและคะแนนเสียงที่ไม่ให้ความเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
คณะรัฐมนตรีอาจขอให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อมีมติอีกครั้งหนึ่ง
หากรัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบก็จะมีการตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกของแต่ละสภามีจำนวนเท่ากัน
ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอประกอบกันเป็นคณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาเสร็จแล้วก็ส่งให้รัฐสภามีมติต่อไป
(มาตรา 173)
กำหนดให้กฎหมายที่ค้างอยู่ในสภา
สามารถถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่
ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภา (มาตรา 178)
2. กลไกของรัฐในทางบริหาร
กลไกของรัฐในทางบริหารมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก
คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารโดยตรง แนวทางที่ 2 คือ
การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการ ซึ่งเป็นกลไกของฝ่ายบริหาร
การปฏิรูปฝ่ายบริหาร
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ทำการปฏิรูปฝ่ายบริหาร
หรือรัฐบาลในหลายกรณีด้วยกัน
- ประการแรก คือ การลดจำนวนคณะรัฐมนตรีให้เหลือเพียง 36 คน
จากเดิมที่มีอยู่เกือบ 50 คน
สาเหตุสำคัญที่มีการลดจำนวนรัฐมนตรีให้เหลือน้อยลงดังกล่าว
ก็เนื่องมาจากการคำนึงถึงประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
เพราะอาจจะกล่าวได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้น
คณะรัฐมนตรีของประเทศไทยมีขนาดใหญ่ เพราะไม่ได้ประกอบด้วยรัฐมนตรีเท่านั้น
แต่ยังมีรัฐมนตรีช่วยว่าอีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ประเพณีการแบ่งสรรอำนาจของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการก็มีลักษณะที่แบ่งแยกกันเด็ดขาด
รัฐมนตรีไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหน่วยงานที่อยู่ในความดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการ
ความเป็นเอกภาพของหน่วยงานจึงไม่เกิดขึ้น
การกำหนดจำนวนคณะรัฐมนตรีมากเช่นนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปูนบำเหน็จทางการเมืองด้วย
โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นในการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด
จำนวนรัฐมนตรีมิได้มีความสอดคล้องกับกระทรวง ทบวง กรม ที่มีอยู่
การลดจำนวนรัฐมนตรีลงจะทำให้การปูนบำเหน็จรางวัลเป็นไปได้ยากขึ้น
การบริหารงานจะมีความเป็นเอกภาพ
และคณะรัฐมนตรีจะสามารถเป็นศูนย์รวมของการตัดสินใจปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง
- ประการที่สอง คือ
การปรับปรุงให้มีการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งนารัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร
โดยกำหนดกลไกไว้ในมาตรา 202 ว่าจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า 1 ใน
5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และมติของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งต้องกระทดโดยเปิดเผยจะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กลไกตามาตรานี้มีขึ้นเพื่อให้การสรรหานายกรัฐมนตรีเป็นอย่างโปร่งใส
และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
หลีกเลี่ยงการดำเนินการของหัวหน้าพรรคการเมืองหรือเลขาธิการพรรคการเมืองที่มักจะอาศัยการตกลงภายในกับพรรคการเมืองอื่น
เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
- ประการที่สาม นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาในขณะเดียวกันไม่ได้ ประเด็นนี้เป็นที่มีความขัดแย้งกันเป็นอย่างสูงในสภาร่างรัฐธรรมนูญ เจตนารมณ์ของมาตรา 204 คือ การห้ามฝ่ายบริหารดำรงตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างจาก ห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เพราะในกรณีหลังนั้นทำให้ไขว้เขวได้ว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญประสงค์ที่จะให้ คนนอก ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะแม้จะมีเจตนามิให้ฝ่ายบริหารดำรงตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกัน แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ประสงค์ที่จะให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง หรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง ดังจะเห็นได้มาตรา 204 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันถัดจากวันที่ครบ 30 วัน นับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
การที่รัฐธรรมนูญไม่ประสงค์ให้ฝ่ายบริหารเป็นฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกัน
มีเหตุผลที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1) บทบาทของฝ่ายบริหารและบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ
เป็นบทบาทที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ผ่ายบริหารมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน
ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกัน
ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลดังกล่าวจะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
2)
เป็นที่ทราบกันดีว่าฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศไทยตรากฎหมายได้น้อยมากในแต่ละปี
แม้จะมีสาเหตุหลายประการก็ตาม แต่เหตุผลหนึ่งก็คือ
ฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศไทยไม่ได้ให้ความสนใจต่อการตรากฎหมายเท่าที่ควร
ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมักให้ความสนใจกับการตรากฎหมายค่อนข้างน้อย
แต่เน้นหนักความสนใจของตนเองไปที่การเป็นฝ่ายบริหารมากกว่า
การห้ามมิให้ฝ่ายบริหารดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกัน
จึงเท่ากับทำให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทุ่มเทการทำงานของตนได้อย่างเต็มที่
สอดคล้องกับหลักการ แยกงานกันทำ
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติเป็นส่วนรวม
3) การให้ฝ่ายนิติบัญญัติดำรงตำแหน่งเป็นฝ่ายบริหารได้
ยังเป็นช่องทางให้มีการแสวงหาประโยชน์จากการเป็นรัฐมนตรี
เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายต่างก็มุ่งหวังว่าตนเองจะสามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้จำนวนหนึ่ง
เพื่อไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามโควต้า
การห้ามมิให้ฝ่ายนิติบัญญัติดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหารในขณะเดียวกันจะทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตระหนักว่าเมื่อใดก็แล้วแต่ที่ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และหากมีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีก็จะกลับมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่