สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สังคมวิทยา
<<< สารบัญ >>>
พฤติกรรมร่วม (Collective Behavior)
1) ความหมาย
พฤติกรรมร่วม คือ พฤติกรรมของกลุ่ม (Groups) ซึ่งมีลักษณะทั่ว ๆ ไป คือ
ไม่มีแบบแห่งพฤติกรรมสำหรับกลุ่ม เมื่อมีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้น
ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติและคุณธรรมได้
พฤติกรรมร่วมเกิดจากการแพร่ระบาดทางอารมณ์ (Emotional contagion) ในสังคม
ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางจิตใจ
แสดงพฤติกรรมออกเพื่อระบายความกดดันภายในออกมา
พฤติกรรมที่แสดงออกมานี้เป็นพฤติกรรมที่ยังไม่ลงตัวเป็นแบบแผน หรือสังคมขณะนั้น
มีโครงสร้างที่ไม่แน่นอน (Unstructured behavior)
การแพร่ระบาดทางอารมณ์ หมายถึง
ความรู้สึกตื่นเต้นและการกระตุ้นซึ่งกันและกันมีระดับความรุนแรงจนมีอิทธิพลแพร่ระบาดออกไปสู่วงกว้าง
บุคคลที่ติดต่อสังสรรค์กันในกลุ่มจะรู้สึกอะไรบางอย่างร่วมกัน
ซึ่งทำให้สภาพจิตตื่นเต้นเหมือน ๆ กัน
บุคคลจะรู้สึกประทับใจเมื่อเห็นอาการเคลื่อนไหวแสดงความรู้สึกของบุคคลอื่น
ความรู้สึกดังกล่าวนี้ อาจแสดงออกทางคำพูดโดยเฉพาะการแสดงท่าทีและท่าทางประกอบ เช่น
การทุบโต๊ะ การชูมือ ยกมือพร้อม ๆ กับน้ำเสียงที่เน้นจังหวะสูงต่ำ ความเร็วในการพูด
นัยน์ตาที่แสดงความรู้สึกโกรธ ชิงชังเคียดแค้น เศร้า
รวมทั้งความเร็วและจังหวะในการหายใจ การเปลี่ยนสีหน้า ความเข้มข้น
และเหงื่อตามร่างกาย ทุกสิ่งดังกล่าวนี้
เมื่อบุคคลแสดงออกทำให้มีอิทธิพลต่อกันและกัน ในขณะที่ตัวเขาแสดงพฤติกรรมออกมา
ผู้อื่นเห็นเขาและตัวของเขาเองมองเห็นผู้อื่น ซึ่งก็หมายความว่า
ทุกคนมีส่วนช่วยในการแสดงออกในการตอบสนองและสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ทำให้พร้อมที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปพร้อมกัน
2) องค์ประกอบของการแพร่ระบาดทางอารมณ์ (Elements of Emotional
Contagion) มีอยู่ 3 ลักษณะดังนี้
1. จิตอยู่ในสภาพที่ถูกชัดจูงได้ง่าย (Heightened Suggestibility)
เนื่องจากในขณะนี้ สภาพของโครงสร้างไม่แน่นอน บุคคลจะมองตัวอย่างจากผู้อื่น
และเนื่องจากอารมณ์ของเขานั้นเครียดอยู่แล้ว
เขาก็พร้อมที่จะทำตามคนอื่นที่ทำเป็นตัวอย่างทันที
โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นเป็นผลดีหรือผลร้ายตามา เช่น กรณีไฟไหม้ที่โรงแรม
อิมพีเรียล ในกรุงเทพมหานคร
ผู้พักในโรงแรมกระโดดจากตึกที่สูงมากได้รับบาดเจ็บหลายคนและถึงแก่ชีวิตก็มี
2. จิตอยู่ในสภาพถูกกระตุ้นได้ง่าย (Heightened Stimulation)
ปัจเจกบุคคลแต่ละคนจะมีบุคลิกภาพเฉพาะของตน หลายคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง
เชื่อมั่นในตนเอง
ในขณะที่บุคคลอีกจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างง่ายดาย
บุคคลประเภทหลังนี้เอง
เมื่อตกอยู่ในสภาพแวดล้อมของกลุ่มที่มีอาการตื่นเต้นและมีการกระทำที่รุนแรงมากระทบใจ
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่กันอย่างใกล้ชิด (ซึ่งทำให้มองเห็นอากัปกิริยาที่แสดงออกมา
เช่น ลมหายใจ กล้ามเนื้อที่ตึงเครียด เหงื่อออก) การกระตุ้นจะเป็นไปในรูป
การติดต่อตอบสนองเป็นวงกลม ดังนี้
ก กระตุ้น ข ทำให้เกิดความกลัวใน ข ความกลัวของ ข กระตุ้นให้ ค กลัว
และมีผลสะท้อนกลับไปที่ ก ให้กลัวยิ่งขึ้นอีก
3. มีประสบการณ์เดียวกัน (Homogeneity of Experience)
การแพร่ระบาดทางอารมณ์จะเกิดเฉพาะในหมู่บุคคลซึ่งมีความโน้มเอียงและมีเบี้ยงหลังความเป็นมาเหมือนกัน
ในกรณีนักเรียนบางกลุ่มยกพวกตีกัน หรือคนงานก่อความวุ่นวาย เป็นต้น ทั้งสองกรณีนี้
ขณะที่นักเรียนวิวาทกัน
คนงานหรืออีกหลายกลุ่มรับรู้แต่ไม่ถึงขั้นดึงดูดให้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย
3) ความสำคัญของการแพร่ระบาดทางอารมณ์ (Significance of Emotional
Contagion)
การแพร่ระบาดทางอารมณ์ก่อให้เกิดพฤติกรรมร่วมในรูปแบบต่าง ๆ กัน
ซึ่งพอจะสรุปความสำคัญได้ดังนี้ คือ
1. การแพร่ระบาดทางอารมณ์ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางจิต
ทั้งนี้ มิใช่เป็นเพราะมาจากการมีกฎเกณฑ์หรือโครงสร้างของกลุ่มที่แน่นอน
แต่เป็นเพราะว่า ในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้น ทุกคนมีพื้นฐานทางอารมณ์อย่างเดียวกัน
ซึ่งทุกคนรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทุกคนมีความเข้าใจร่วมกัน
ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ยาวนานนัก
และช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองที่ก่อให้เกิดความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและกำลังใจในการทำงาน
ตัวอย่างเช่น การช่วยกันค้นหาเด็กหลงหลังเหตุการณ์วิกฤตบางอย่าง
2. ในกลุ่มคนซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะการแพร่ระบาดทางอารมณ์ วินัยมักต่ำ
มีการส่งเสริมให้ระบายความกดดันภายใน และอนุญาตให้แสดงพฤติกรรมนอกแบบแผน
ตัวอย่างเช่น การชุมนุมของพวกคลั่งศาสนา การแตกตื่นในกลุ่มฝูงชนบ้าคลั่ง
3. ขอบเขตของการแพร่ระบาดทางอารมณ์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการติดต่อถึงกัน
การติดต่อถึงกันทำได้โดยผ่านสื่อมวลชนต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
ซึ่งทำให้คนส่วนรวมเกิดความรู้สึกตื่นเต้น บางครั้งอาจมีลักษณะความกระวนกระวาย
กระสับกระส่าย โดยเฉพาะเกี่ยวกับปัญหาการเมือง ปัญหาเกี่ยวกับสงคราม
4) การแสดงออกของพฤติกรรมร่วม
พฤติกรรมร่วมของกลุ่มชน
แสดงออกมาในรูปลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ฝูงชน (Crowds) ฝูงชนที่วุ่นวายหรือบ้าคลั่ง
(Mobs) การแตกตื่น (Panics) ความนิยมชั่วครู่ (Fads) และความคลั่งไคล้ (Crazes)
ขบวนการทางสังคม (Social movements) การปฏิวัติ (Revolutions) การปฏิรูป (Reforms)
1. ฝูงชน (Crowds)
เป็นการรวมกันของคนจำนวนมาก ๆ แต่มีการควบคุมทางสังคม
เป็นการเปิดโอกาสให้มีการระบายอารมณ์และผ่อนคลายความตึงเครียด
(ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่แสดงออก) ซึ่งก่อให้เกิดความแข็งแกร่งของกลุ่ม
ฝูงชนบางกลุ่มอาจมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
และบางกลุ่มก็เกิดชั่วครู่แล้วสลายตัวไปในระยะเวลา สั้น ๆ เช่น
การมุงดูรถตกคูข้างถนน การมุงดูการเล่นปาหี่
หรือดูเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดเฉพาะหน้า เช่น อุบัติเหตุ เป็นต้น
พฤติกรรมฝูงชนส่วนใหญ่มีการตระเตรียมไว้ล่วงหน้าและผลของมันนั้นทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(Integrative crowd behavior) ในลักษณะ ดังต่อไปนี้ คือ
1.1 กลุ่มที่มีการแสดงออกเต็มที่ (Expressive crowds) เช่น งานเลี้ยง
เต้นรำ และการแข่งขันกีฬา และพฤติกรรมด้านอื่น ๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลมี
การระบายอารมณ์และผ่อนคลายความตึงเครียด บุคคลจะแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ออกมาร่วมกัน
เช่น การเชียร์กีฬา ซึ่งแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่
โดยที่สภาวะปกติแล้วบุคคลจะไม่กล้าทำเช่นนั้น
1.2 ผู้ฟังหรือผู้ชม (Audiences) การแพร่ระบาดทางอารมณ์อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
การฟังคำบรรยาย หรือการฟังดนตรีบรรเลง ผู้ฟังจะเกิดอารมณ์ร่วมไปด้วย
และบางครั้งผู้แสดงก็อาศัยหลักการแพร่ระบาดทางอารมณ์ที่สร้างบรรยากาศขึ้นก่อน
โดยจ้างให้หลาย ๆ คนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ช่วยกันปรบมือ โห่ร้อง
แสดงความชื่นชมพอใจให้คนอื่นเกิดพฤติกรรมร่วมไปด้วย
1.3 พิธีการทางศาสนา ซึ่งมีอยู่ทุกศาสนา
ในอันที่จะปลุกให้เกิดอารมณ์ความสำรวมและเลื่อมใส สร้างความศรัทธาอย่างลึกซึ้ง
1.4 การชุมนุมมวลชนและการเรียกประชุม เช่น
การชุมนุมฟังการอภิปรายหาเสียงเลือกตั้งหรือการฟังประชุมทางการเมือง
2. ฝูงชนบ้าคลั่ง (Mobs)
ฝูงชนบ้าคลั่ง คือ ฝูงชนที่มุ่งหน้ากระทำการรุนแรงบางอย่าง
โดยที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและจิตใจมุ่งมั่นที่จะก่อการร้าย
การกระทำของฝูงชนบ้าคลั่งจึงมีจุดหมายทางสังคม
เป้าหมายในทางสังคมจะถูกกำหนดขึ้นมาอย่างชัดแจ้ง เช่น กรณีกลุ่มชาติพันธุ์
กลุ่มชนชั้น จึงมีลักษณะความเป็นอยู่ที่ แตกต่างกัน
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นมีความรุนแรง มักมุ่งทำลายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคล
หรือกลุ่มบุคคล เช่น การรุมประชาทัณฑ์ มุ่งทำลายสถานที่ แขวนคอ
หรือกลุ้มรุมทำร้ายบุคคล อารมณ์จะถูกครอบงำด้วยความรู้สึกเคียดแค้น โกรธ
หรือไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อบุคคล หรือต่อสถานการณ์บางอย่างจนไม่สามารถยับยั้งไว้ได้
และจะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป เพื่อระบายอารมณ์รุนแรงของตน
ในบางกรณีที่ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดเป็นเป้าหมายที่แน่นอน
ฝูงชนมักจะมุ่งสู่เป้าหมายอันใดอันหนึ่งที่ใกล้ตัว
หรือในบางกรณีด้วยอารมณ์ที่รุนแรงแทนที่จะมุ่งหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น
ความกดดันทางการเมือง หรือทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ถูกมุ่งตรงมาจึงมีลักษณะเป็น
แพะรับบาป (Scrape goading) และบุคคลที่เป็นตัวนำหรือหัวหน้าในสถานการณ์เช่นนี้
มักจะยุยงในลักษณะที่ก่อให้เกิดการทำลายตามมา
ซึ่งหัวหน้าดังกล่าวในสภาวะปกติแล้วแทบจะไม่มีบทบาทใด ๆ เลย
ตัวการสองอย่างซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการกระทำของฝูงชนบ้าคลั่ง คือ
หัวหน้าดังกล่าวกับข่าวลือ
3. การจลาจล (Riots)
หมายถึง พฤติกรรมร้ายแรงทั่ว ๆ ไป เกิดขึ้นตามที่ต่าง ๆ
และมักจะมีฝูงชนมากมายหลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง
การจลาจรมักจะแสดงถึงความไม่พอใจทั่ว ๆ ไป
และเป็นการท้าทายมากกว่าจะแสดงวัตถุประสงค์แน่นอน เป็นต้นว่า
การจลาจลในคุกที่เกิดจากนักโทษเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตน
ก็มักจะเต็มไปด้วยการกระทำร้ายแรงต่าง ๆ โดยไม่มีจุดหมายแน่นอน
4. การแตกตื่น (Panic)
เกิดขึ้นเมื่อคนรู้สึกมีอันตรายต่อการดำรงชีวิตอยู่ ต่อไป
บุคคลที่แตกตื่นจะหมดความรู้สึกควบคุมตนเอง
จะทำอะไรด้วยความตื่นเต้นหรือไม่รู้จะทำอะไร
แสดงพฤติกรรมเปะปะหรือไม่ได้ช่วยอะไรเลย
หรือหมดความสามารถที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป เช่น เกิดไฟไหม้ หลายคนวิ่งไปมา
หลายคนมือเท้าอ่อนลุกไม่ได้ หลายคนหยิบฉวยของไร้ค่า เช่น ผู้ถูเรือน กระทะ
และหลายคนแบกสิ่งของที่ไม่ควรขน เป็นต้นว่า ตุ่มน้ำ กระป๋องเก่า ๆ
ความแตกตื่นมีความสัมพันธ์กับการแพร่ระบาดทางอารมณ์
เนื่องด้วยเหตุผลสองประการ คือ
การเห็นสภาพผู้อื่นแตกตื่นจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกถึงอันตรายที่จะมาถึงตนเอง
และในช่วงจังหวะนี้ ข่าวลือจะระบาดกระจายอย่างรวดเร็ว เป็นต้นว่า น้ำมันขึ้นราคา
ข่าวลือว่าสินค้าทุกชนิดจะขึ้นราคา นาง ก ตื่นต่อข่าวลือนี้
จึงซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิดกักตุนไว้ นาง ข เห็น นาง ก ตื่นและกักตุนสินค้า
ก็รีบกว้านซื้อกักตุน เพิ่มทวีขึ้น ในปี พ.ศ. 2519
แม่บ้านจำนวนมากในกรุงเทพมหานครที่แตกตื่นเข้าแถวซื้อข้าวสารกักตุนไว้เป็นกระสอบ ๆ
เพราะกลัวข้าวสารขาดตลาด (ซึ่งการกระทำดังกล่าวกลับเป็นผลให้ข้าวสารขาดตลาดจริง ๆ
แต่ไปอยู่ในครอบครองของคนบางกลุ่มที่เกิดการแตกตื่น) ในประการที่สอง
การแพร่ระบาดทางอารมณ์จะทำให้ทุกคนทำอะไร
บางอย่างเหมือนกันและก่อให้เกิดผลเสียหายร้ายแรง เช่น
ในเรือขณะถูกลมพายุแรงหรือในโรงมหรสพที่ไฟกำลังไหม้ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้
จำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละคนต้อง แยกออกจากกันและประสานกัน เมื่อเกิดการแตกตื่น
พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ก็คือ ทุกคนจะวิ่งไปที่จุดเดียวกัน (กราบเรือหรือทางออก)
โดยอัตโนมัติ ทำให้เป็นผลร้ายตามมา ถึงแก่ชีวิต
ในบางกรณีที่มีผู้ตัดสินใจผิดพลาดก็มักจะมีบุคคลอื่นทำตามทันที เช่น
วิ่งไปประตูเล็กซึ่งห่างไกลออกไป แทนที่จะออกทางประตูใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ตัว
การป้องกันการแตกตื่นอาจทำได้โดยใช้ความรู้ถึงสถานการณ์
ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะทำค่อนข้างลำบาก แต่ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ผล เช่น
ความเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติของการเกิดจันทรคราสหรือสุริยคราส
5. ความนิยมชั่วครู่ (Fads) และความคลั่งไคล้ (Crazes)
6. ข่าวลือ (Rumor)
ข่าวลือเป็นการส่งข่าวคราวที่ไม่มีการยืนยันโดยทาง คำพูด
ในสถานการณ์ที่ตนรู้สึกกังวลใจหรือรู้สึกถูกกดดัน
ข่าวลือจะเกิดขึ้นเมื่อคนในสังคมอยากรู้เรื่องต่าง ๆ
แต่ไม่มีสื่อการติดต่อที่เชื่อถือได้
ข่าวลือมักจะเริ่มต้นจากรายงานที่ไม่แน่นอนหรือบิดเบือนหรือมักจะ
กระจายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งบิดเบือนหรือรายงานไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น
ข่าวลือจะเกิดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง และในกรณีเช่นนี้
การบิดเบือนจะเป็นไปตาม ลักษณะ ของแต่ละบุคคล
(จะเสริมความรู้สึกของตนเองเพิ่มพูนเข้าไปด้วย)
เหตุการณ์ทางสังคมในยามวิกฤติการณ์และภาวะคับขัน
ข่าวสารซึ่งมีความสำคัญที่สุดจะถูกทำลายหรือเกิดความล่าช้าชะงักงันไป กรณีเช่นนี้
ข่าวลือจะเข้าแทนที่ข่าวคราวที่มาจากแหล่งที่แน่นอนกว่าทันที เช่น
ในกรณีน้ำท่วมหรือชายแดนที่ห่างไกลและถูกข้าศึกโจมตี
7. ขบวนการทางสังคม (Social movement)
เป็นพฤติกรรมร่วมอีกประเภทหนึ่งที่มีเป้าหมาย
มุ่งเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎเกณฑ์หรือแบบแผนทางสังคมเสียใหม่ เช่น
การเคลื่อนไหวประท้วงหรือเรียกร้องให้แก้ปัญหาบางอย่าง
ขบวนการทางสังคมเกิดขึ้นเนื่องจากสมาชิกในสังคมไม่พอใจแบบแผนชีวิตที่เป็นอยู่
จึงมารวมตัวกันอย่างหลวม ๆ คือ ยังไม่มีบรรทัดฐานควบคุมความสัมพันธ์อย่างชัดเจน
แต่เมื่อขบวนการทางสังคมได้พัฒนาไปนานวัน
ก็จะมีการจัดระเบียบที่แน่นอนยิ่งขึ้นตามลำดับ เช่น เริ่มมีการกำหนดบรรทัดฐาน
มีการแบ่งหน้าที่ มีค่านิยมหรือความเชื่อร่วมกัน
ตลอดจนมีผู้นำกลุ่มขึ้นมาอย่างเป็นแบบแผนแน่นอนขึ้น
ขบวนการทางสังคมมี 2 ประเภท คือ
ขบวนการทางสังคมที่มีเป้าหมายเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
การเคลื่อนไหวของกรรมกรซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะเกี่ยวกับการเรียกร้องให้แก้ไขปรับปรุงสภาพการทำงาน
สวัสดิการ ค่าจ้าง
การเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ต้องการประท้วงหรือเรียกร้องในกรณีใดกรณีหนึ่งเป็นครั้งคราวไป
ขบวนการทางสังคมประเภทนี้มีลักษณะเป็นพฤติกรรมร่วมที่มีการจัดระเบียบเพียง เล็กน้อย
มักเกิดขึ้นและสลายตัวไปในระยะเวลาสั้น ๆ
ขบวนการทางสังคมอีกประการหนึ่ง
เป็นขบวนการที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมทั้งหมดหรือในหลาย ๆ ส่วน
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น ได้แก่
ขบวนการปฏิรูปสังคมและขบวนการปฏิวัติ ทั้งสองแบบนี้เป็นขบวนการ
ที่มีการจัดระเบียบที่ซับซ้อนกว่า เช่น มีผู้นำและสมาชิกที่แน่นอน
มีอุดมการหรือค่านิยมร่วมกัน มีกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติของกลุ่ม
มีการแบ่งหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน
ข้อแตกต่างระหว่างการปฏิรูปและขบวนการปฏิวัติ มีดังนี้ คือ
ขบวนการปฏิรูปมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีชักจูงให้คนหมู่มากคล้อยตาม
โดยมีเป้าหมาย ที่แคบ มีขอบเขตแคบกว่าขบวนการปฏิวัติ
ขบวนการปฏิรูปต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบางส่วนหรือหลายส่วนของโครงสร้างสังคม
แต่ขบวนการปฏิวัติต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ขบวนการปฏิวัติต่อต้านระเบียบ กฎเกณฑ์ ค่านิยม ความเชื่อ หรือสถาบันต่าง ๆ
ที่สำคัญของสังคมที่กำลังเป็นอยู่ แต่ขบวนการปฏิรูป
ยังยอมรับสถาบันและค่านิยมหลักหลาย ๆ อย่างของสังคม
ขบวนการปฏิวัติต้องการเปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ
และวิถีชีวิตของคนในสังคมอย่างสิ้นเชิง
หรืออาจเปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคนจากแบบเดิมเป็นแบบใหม่ ดังนั้น
ขบวนการปฏิวัติจึงได้รับ การต่อต้านจากกลุ่มต่าง ๆ มากกว่าขบวนการปฏิรูป
ขบวนการปฏิวัติจึงมักถูกผลักดัน ให้ต้อง ปฏิบัติการใต้ดิน
แทนที่จะออกมาดำเนินการอย่างเปิดเผย ในที่สุดแล้ว
ขบวนการปฏิวัติมักใช้วิธีการรุนแรงเข้าทำการเปลี่ยนแปลง บางครั้งขบวนการปฏิรูป
อาจกลายเป็นขบวนการปฏิวัติก็ได้
ถ้าหากขบวนการปฏิรูปนั้นถูกต่อต้านจนไม่สามารถทำอะไรได้ภายใต้ระบบสังคมที่เป็นอยู่
<<< สารบัญ >>>