ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
ไอน์สไตน์ เขียนไว้ในหนังสือทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษว่า
การเคลื่อนที่ทุกอย่างในอวกาศเป็นสิ่ง " สัมพัทธ์ "
ซึ่งจะวัดได้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
แต่ในอวกาศนั้นไม่มีสิ่งใดให้ใช้เป็นเครื่องวัด เขาบอกว่าความเร็วของแสงประมาณ
300000 กิโลเมตร ต่อวินาทีนั้นมีค่าคงที่เสมอสำหรับผู้สังเกต
ไม่ว่าผู้สังเกตจะเคลื่อนที่หรือไม่
ด้วยเหตุนี้แสงจากดวงดาวที่อยู่ข้างหน้าในเส้นทางโคจรของโลก
จึงมาถึงโลกในเวลาเดียวกันกับแสงจากดาวที่อยู่ข้างหลังเส้นทางโคจรของโลก
แม้โลกจะเดินทางมุ่งไปที่ดาวดวงแรก และหนีห่างจากดาวดวงหลังด้วยความเร็ว 29000
กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
ไอน์สไตน์ สรุปว่าความเร็วของแสงเป็นคุณสมบัติทางกายภาพ
ซึ่งคงที่เพียงสิ่งเดียวในจักรวาล และในเมื่อความเร็งของแสงคงที่เสมอ
ไม่ว่าผู้สังเกตจะเคลื่อนที่หรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นคุณสมบัติอย่างอื่นๆทางกายภาพ
สำหรับผู้ที่เดินทางไปในทิศที่ต่างกัน และด้วยความเร็วที่ต่างกัน
ย่อมต้องแตกต่างกันไป
เวลาในยานอวกาศที่เดินทางเร็วเกือบเท่าแสง จะช้ากว่าเวลาของผู้ซึ่งอยู่กับที่
ซึ่งจะเห็นจากยานว่ามีขนาดสั้นลง และมีมวลเพิ่มขึ้นมหาศาล
เนื่องจากวัตถุที่เดินทางเร็วเท่าแสงจะมีขนาดเป็นศูนย์ คือหายไป....
แต่มีมวลเป็นอนันต์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไอน์สไตน์จึงสรุปว่า
ไม่มีวัตถุใดเดินทางเท่าแสง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ภาคพิเศษของไอน์สไตน์นำไปสู่ "ปริศนาฝาแฝดพิศวง"
ที่ว่าฝาแฝดคนหนึ่งเดินทางไปในอวกาศด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง
เขาจะไม่รู้สึกแตกต่างไปจากฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่อยู่บนพื้นโลก
แม้ว่าเวลาในยานอวกาศจะผ่านไปเร็วประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาโลก
ดังนั้นถ้าฝาแฝดคนหนึ่งเดินทางไปกับยานอวกาศเป็นเวลา 10 ปี เมื่อกลับมาสู่โลก
เขาก็จะแก่ลงเพียง 5 ปี แต่ฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่อยู่บนโลกจะแก่ลง 10 ปี
มีการพิสูจน์ทฤษฎีนี้เมื่อ ค.ศ. 1977
โดยการนำนาฬิกาอะตอมหลายเรือนที่เดินทางเที่ยงตรงที่สุด
ติดไปกับดาวเทียมยูไนเต็ดสเตท ที่ส่งไปโคจรในอวกาศ
เมื่อเดินทางกลับมาสู่โลกก็นำนาฬิกาเหล่านี้ ไปเทียบกับนาฬิกาชนิดเดียวกัน ณ
ห้องปฎิบัติการวิจัยทหารเรือในกรุงวอชิงตัน ดี ซี
ปรากฎว่านาฬิกาที่อยู่ในดาวเทียมเดินช้าลงเล็กน้อย
แสดงว่าเวลาในดาวเทียมผ่านไปช้ากว่า
สมการของไอน์สไตน์ที่ว่า E = MC2
หมายความว่า มวลของวัตถุจะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้
และมวลของวัตถุจะเพิ่มขึ้นตามความเร็ว และจะทำให้พลังงานเพิ่มขึ้นด้วย
เมื่อเดินทางด้วยความเร็วที่เท่ากัน วัตถุที่หนักจะมีพลังงานมากกว่าวัตถุที่เบากว่า
พลังงานที่เพิ่มขึ้นจะเท่ากับมวลที่เพิ่มขึ้นคูณด้วยความเร็วของแสงยกกำลัง2
ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ลำแสงจะเบนเข้าหาดวงดาว
เพราะแรงดึงดูดของดวงดาวนั้น หากทฤษฎีนี้เป็นจริง
ลำแสงจะเบนเข้าหาดวงอาทิตย์เมื่อเดินทางเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์
ใน ค.ศ. 1919 มีการพิสูจน์ทฤษฎีนี้โดยคณะนักดาราศาสตร์
ซึ่งสังเกตสุริยุปราคาเต็มดวง จากดินแดนที่ต่างกัน 2 แห่งพร้อมๆกัน
และจากภาพที่ได้ถ่ายเอาไว้ก็พบว่า ดวงดาวที่ส่องแสงใกล้ดวงอาทิตย์
จะมีตำแหน่งคาดเคลื่อนไปจริงๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพของดาวนั้น
เมื่อไม่ได้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์.